BMW หนึ่งในแบรนด์รถหรูที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก ประวัติ BMW นั้นได้ชูอัตลักษณ์ความโดดเด่นด้วยความมุ่งมั่นในวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างยานยนต์ที่มีสมรรถนะและงานออกแบบ ‘ระดับ Ultimate’ และเป็น ‘แม่แบบ’ ที่ได้นำร่องและตั้งมาตรฐานระดับสูงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์มายาวนานถึง 1 ศตวรรษเต็ม ๆ
และช่วงระยะเวลามากกว่า 100 ปีที่ BMW ได้รังสรรค์ยานยนต์ออกมาหลายรุ่นหลากประเภทเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ ทาง BMW ก็ได้มีการติดตั้งชื่อ ‘ซีรีส์’ เพื่อเป็น Roadmap ประกอบการพัฒนารถยนต์ในแต่ละยุคและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของแบรนด์สามารถแยกแยะรุ่นรถยนต์ได้เองไม่สับสน
ภายในบทความนี้ Prime Cars Rental จะมาสรุปประวัติ BMW 100 ปี ตั้งแต่ซีรีส์แรกไปจนถึงซีรีส์ล่าสุดให้คุณเข้าใจง่ายมากที่สุด แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ถึงหลักการตั้งชื่อซีรีส์ของรถยนต์ BMW กันก่อนเพื่อเป็นเกร็ดความรู้ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงรถยนต์แต่ละซีรีส์ได้ดีมากยิ่งขึ้น
หลักการตั้งชื่อซีรีส์รถยนต์ BMW
BMW ใช้แนวคิดเดียวกับ Mercedes-Benz และ Audi ในการตั้งซีรีส์รถยนต์ นั่นคือการใช้ ‘ตัวเลข’ และ ‘ตัวอักษร’ โดย BMW ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับเลขหรือตัวอักษรประกอบเสมอเพราะเป็นตัวบ่งบอก ประวัติ BMW, โมเดล และประเภทของรถยนต์ ที่มี Pattern สรุปออกมาง่าย ๆ ได้ดังนี้
- เลขซีรีส์ที่เป็นเลข ‘คู่’ หมายถึงรถคูเป้ แต่บางรุ่นจะเป็นรถซีดาน 4 ประตู เช่น BMW 2 Series แต่รูปทรงก็ยังเป็นรถคูเป้ซีดานหลังคาลาด จุดเด่นคือประตูไร้กรอบกระจก (Frameless Door) ที่มีเฉพาะรถคูเป้เท่านั้น
- เลขซีรีส์ที่เป็นเลข ‘คี่’ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นซีรีส์รถยนต์ที่มีงานออกแบบ Body-style แตกต่างออกไปจากซีรีส์ก่อน ๆ (ถ้าเทียบกับ Mercedes-Benz ก็จะเป็นซีรีส์ 3 กับ C-Class)
- ตัวอักษรซีรีส์ X หมายถึงรถยนต์ SUV
- ตัวอักษรซีรีส์ Z หมายถึงรถยนต์ Roadsters (รถเปิดประทุนสองที่นั่ง)
- ตัวอักษรซีรีส์ M คือรถยนต์ Series ต่าง ๆ ของ BMW แต่ได้รับการปรับจูนสมรรถนะให้สูงขึ้น High Performance เช่น X3 เป็น X3 M, 4 Series เป็น M4
- ตัวอักษรซีรีส์ i หมายถึงรถยนต์ไฟฟ้าหรือไฮบริดแต่ถ้าอยู่หลังตัวเลข เช่น 330i จะหมายเครื่องยนต์เบนซิน
- ตัวอักษรซีรีส์ sDrive หมายถึงรถยนต์ขับเคลื่อนสองล้อ
- ตัวอักษรซีรีส์ xDrive หมายถึงรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ
- ตัวอักษร i คือเครื่องยนต์เบนซินและแก๊ซ
- ตัวอักษร e คือเครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือไฮบริด
- ตัวอักษร d คือเครื่องยนต์ดีเซล
ทั้งนี้ หลายคนอาจสับสนกับชื่อรุ่นที่มีอักษรตัว i โดยยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็นภาพคือ BMW i4 มีตัวอักษรนำอยู่ข้างหน้าจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า แต่ถ้าเป็นรุ่น BMW 330i ตัวอักษรอยู่ด้านหลังจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินหรือใช้แก๊ซ นั่นเอง
คำศัพท์เฉพาะของแบรนด์ BMW
Bimmer: ชื่อ Fandom ของแฟนคลับรถยนต์ BMW
Gran Coupe: รถยนต์คูเป้ 4 ประตูหลังคาโฉบเฉี่ยวแบบสโลป
Gran Turismo: รถยนต์ซีดาน 4 ประตูที่ยกระดับหลังคาสูงขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในให้กว้างขวาง
Hofmeister Kink: ศัพท์ที่ใช้อธิบายหลักการดีไซน์ Signature ของ BMW ซึ่งเป็นการปรับเสาหลัง (เสา C) ให้โค้งงอ สอดรับกับกระจกด้านที่นั่งโดยสารเพื่อเพิ่มความสปอร์ต
Sport Activity Vehicle: คำเฉพาะที่ BMW ใช้เรียกรถยนต์ประเภท SUV
ประวัติ BMW แต่ละซีรีส์
ในขณะนี้ BMW มีรถยนต์อยู่ทั้งหมด 8 ซีรีส์ โดยแต่ละรุ่นจะมีประวัติ BMW และรายละเอียดดังต่อไปนี้
ประวัติ BMW 2 Series
“รถยนต์คูเป้ที่มีขนาดเล็กที่สุด พร้อมราคาที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด”
BMW Series 2 นับว่าเป็นรถหรูรุ่นเริ่มต้นขนาดเล็ก ราคาดีมากที่สุดจาก BMW รังสรรค์ขึ้นครั้งแรกในปี 2014 และยังคงกระบวนการผลิตจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหลายคนอาจจะมีความสับสนอยู่บ้างกับ BMW Series 2 เพราะภายในซีรีส์มีการซอยรุ่นย่อยอีกคือ รถคูเป้รุ่นธรรมดา โดดเด่นด้วยออพชันเลือกซื้อรุ่นเปิดประทุนเสริมกับ Gran Coupe แบบ 4 ประตู
BMW Series 2 ทั้งสองรุ่นใช้การขับเคลื่อนระบบล้อหลังทั้งหมด ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวไปหนึ่งปี BMW ก็ได้เพิ่มรูปแบบ Body-style ใหม่ที่มีจำนวนที่นั่งภายในถึง 5-7 ที่นั่ง โดยใช้ชื่อเรียกว่า ‘Gran Tourer’ ซึ่งนับว่าเป็นรถคูเป้ที่มีพื้นที่นั่งเยอะแต่ยังคงดีไซน์ไซซ์เล็กคอมแพ็ค กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สะเทือนอุตสาหกรรมยานยนต์ไปทั่วโลก
BMW 220i M Sport Gran Coupe
นับจากนั้น BMW Series 2 ก็ได้ยึด Body-style ที่เป็นเอกลักษณ์กว้างขวางนับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่สิ่งที่ Series 2 ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ‘สมรรถนะ’ ที่ได้ประเดิมเพิ่มเติมสมรรถนะตัวแรกของ Series 2 คือรุ่น ‘F87 คูเป้’ ที่ใช้เครื่องยนต์ Turbocharged แรงสูงสุดถึง 6 สูบ
ประวัติ BMW 3 Series
“รถยนต์ซีดานที่ได้รับความนิยมสูงสุด ผลิตยาวนานถึง 7 Generation”
ประวัติ BMW Series 3 เปิดตัวครั้งแรกในปี 1975 เริ่มต้นด้วยรุ่น E21 ซึ่งเป็นเพียงแค่รถยนต์ซีดาน 2 ประตูธรรมดา ๆ แต่หลังจากนั้น BMW ก็ได้แตกไลน์ขยาย Series 3 ให้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งมีอยู่มากมายแยกย่อยได้เป็น
- ซีดาน 4 ประตู
- รถเปิดประทุน 2 ประตู
- รถคูเป้ 2 ประตู
- รถ Estate 5 ประตู
- รถ Gran Turismo 5 ประตู
- รถ Hatchback 3 ประตู
และนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจาก BMW ที่เลือกแตกไลน์ Series 3 ออกมามากมายขนาดนี้ เพราะ Series 3 ได้กลายเป็นซีรีส์ที่มี ยอดขายสูงที่สุดตลอดกาลของ BMW โดยทำกำไรไปได้ถึง 30% ของยอดขายประจำปี รวมถึงยังกวาดรางวัลรถยนต์จากสำนักต่าง ๆ ไปได้อีกหลายถ้วยรางวัล เช่น รางวัลสุดยอด 10 อันดับรถยนต์จากนิตยสาร Car and Driver ต่อเนื่องถึง 22 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1992 ไปจนถึง 2014 และนับว่าเป็นซีรีส์รถยนต์ที่ติดอันดับยาวนานที่สุดเช่นเดียวกัน
ด้วยความนิยมระดับนี้ ทาง BMW จึงไม่รอช้ารีบเข็นเวอร์ชัน ‘M’ หรือรุ่นเพิ่มสมรรถนะลงสู่ตลาดทันที โดยหนึ่งในรถยนต์ Series 3 ที่ได้รับการปรับจูนเครื่องยนต์ก็คือ ‘G20’ ที่ได้รับการตอบรับที่ดีมากจนกลายเป็นรุ่นที่มีการปรับจูนถึง 2 รอบคือปี 2019 และปี 2021
BMW 330e M Sport G20
BMW 330e M Sport G20 คือชื่อรุ่นเต็ม ๆ ของรถยนต์ G20 เวอร์ชัน Plugin ไฮบริดปี 2021 ที่ภายในพกพาสมรรถนะระดับท็อปมาครบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ Twin Scroll Turbo 2.0 ลิตร 258 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร และเมื่อได้จับคู่กับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า E-Power จะเพิ่มสมรรถนะขึ้นได้เป็น 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร
เรียกได้ว่า BMW 330e M Sport G20 เป็นอีกหนึ่งรุ่นท็อปของ Series 3 ได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยสามารถทำยอดขายรอบปีในประเทศอังกฤษไปได้ถึง 10,979 คัน เฉือนชนะ Mercedes-benz A-Class ไปได้มากกว่า 4 พันคัน และตอนนี้ Prime Cars Rental ก็มีให้คุณเช่าขับแล้ว ด้วยราคาเพียงแค่วันละ 8,900 บาทเท่านั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยที่นี่ >> BMW 330e M Sport G20 (2021)
BMW 4 Series
“รถยนต์คูเป้ที่มีงานออกแบบแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร’
BMW Series 4 เปิดตัวครั้งแรกในงาน North American Internation Auto Show ในดีทรอยต์ปี 2013 จุดเด่นหลักของซีรีส์นี้คือการ ยกเครื่องปรับปรุงเทคโนโลยีจาก Series 3 ให้โมเดิร์นทันสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟตัดหมอก ช่องตัดอากาศ วัสดุการผลิต เพิ่มการขับเคลื่อน xDrive 4 ล้อ ฯลฯ โดยในปัจจุบันมีการผลิตต่อเนื่องมาแล้ว 2 Generation
ใน Generation แรก Series 4 ผลิตขึ้นมาทั้งรถยนต์คูเป้, รถเปิดประทุน, และ Gran Coupe แบบ 5 ประตู Liftback ใช้เครื่องยนต์ Tubocharged Inline 3-6 ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเบนซินและดีเซล ซึ่งรถยนต์ตัวแรกของ Series 4 ใช้โค้ดเนมว่า ‘F32’ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนที่ยกระดับมาจากรุ่น E92-93 ของ Series 3 ซึ่งได้ขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล Turbocharged 3-6 สูบ นับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่เร็วพอสมควรในช่วงนั้น (ปี 2013)
BMW 430i
และเมื่อมาถึง Generation ที่ 2 งานดีไซน์ Series 4 ได้ถูกเปลี่ยนแปลง ให้มีเอกลักษณ์ชัดเจนขึ้นอย่างมาก กับกระจังหน้า ‘กรวยไตคู่’ (Kidney Grille) ขนาดใหญ่แปลกตาไม่เหมือนใคร ซึ่งพื้นฐานการออกแบบได้แรงบันดาลใจจาก BMW 328 ปี 1930 เริ่มใช้ครั้งแรกในรุ่น ‘G20’ และรุ่นหลังจากนั้น (G22, 23, 26) ทำให้ Series 4 สามารถสลัดคราบการเป็นเพียงแค่ Minor change จาก Series 3 ไปได้ทันที
นอกจากนั้นปี 2021 นิตยสารรถยนต์ What Car? ได้ให้คะแนน BMW Series 4 ด้วยคะแนนเต็ม 5/5 และได้เสนอชื่อ BMW 420i M Sport ว่าเป็นสุดยอดรถคูเป้แห่งปีอีกด้วย
BMW 5 Series
“จุดเริ่มต้นใหม่ของซีรีส์ BMW”
BMW E12 ภาพจาก roadandtrack
ประวัติ BMW Series 5 เป็นซีรีส์แรกที่ริเริ่มใช้หลักการนับรุ่นแบบ ‘ตัวเลข’ และ ‘ตัวอักษร’ 3 หลักที่เราได้เกริ่นไปช่วงต้นบทความ โดยรถยนต์ในซีรีส์ 5 เป็นรถหรูซีดานขนาดกลางที่เน้นรูปลักษณ์ที่มินิมอลมากขึ้น และยังคงเอกลักษณ์กระจังหน้าไตเหมือนเดิม ซีรีส์นี้เริ่มผลิตขึ้นในปี 1972-ปัจจุบัน รวมทั้งหมด 7 Generation เปิดตัวรุ่นแรกสุดคือรุ่น ‘E12’ ที่มาแทนซีดานรุ่น BMW 2000 New Class
BMW 501 ภาพจาก autoevolution
โดยเบื้องหลัง (ที่เป็นไปได้) ของการที่ BMW ตัดสินใจเริ่มใช้ตัวเลขนำหน้ารถยนต์ซีรีส์ 5 ก็อาจเป็นเพราะต้องการแสดงความเคารพถึงรถยนต์ซีดานรุ่น BMW 501 และ 502 เจ้าของฉายา The Baroque Angels หนึ่งในรถ BMW ที่คลาสสิคและสวยงามที่สุด
และถ้าพูดถึงสเปคภายในของซีรีส์ 5 ก็ไม่ใช่สเปคระดับเริ่มต้นเลย เพราะใช้เครื่องยนต์แบบ 4-6 สูบ 2 ลิตร ระบบเบนซิน 115 แรงม้าและต่อมาก็ได้พัฒนามาเป็น V8-V10 สูบที่มีให้เลือกทั้งแบบรุ่นธรรมดาและ Turbocharged ที่ติดตั้งระบบหัวฉีดน้ำมันแรงดันสูง และจุดเด่นที่เห็นได้ชัดของซีรีส์ 5 ก็คือ ‘ระบบความปลอดภัย’ ที่ได้นำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบเพื่อเสริมความปลอดภัยในห้องโดยสาร แถมยังรองรับสรีระขณะขับขี่ได้มากขึ้นอีกด้วย
รถหรู BMW 530e M Sport ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
ด้วยการพัฒนาใหม่มากมาย ทำให้ซีรีส์ 5 ประสบความสำเร็จอย่างมากและทำยอดขายได้เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากซีรีส์ 3 หลังจากนั้นเมื่อ BMW จะปล่อยรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ของ Series 5 นับตั้งแต่ E28 BMW จะเรียกว่าเป็นรุ่น M หรือรุ่นปรับปรุงสมรรถนะทั้งหมด
BMW 6 Series
“รถคูเป้ Gran Tourer เปิดประทุนดีไซน์โมเดิร์นสุดล้ำข้ามกาลเวลา”
Concept Car ‘Turbo’ ภาพจาก carthrottle
ในปี 1972 ณ งาน Geneva Motor Show BMW ได้ช็อกโลกด้วยการเปิดตัว Concept Car โค้ดเนม ‘Turbo’ ที่มีงานดีไซน์ล้ำยุคสุดหรูเกินงานออกแบบยุคนั้นไปหลายขุม โดยตัวรถใช้ดีไซน์เรขาคณิตโฉบเฉี่ยวสีแดงสุดแสบตา มาพร้อมประตูรถแบบปีกนก Gullwing ที่สามารถเร่งความเร็ว 1-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม. รวมถึงมีเทคโนโลยีอัดแน่นเอาไว้อีกมากมาย เช่น เรดาร์ตรวจจับการเบรกและแผงควบคุมที่ดูดีมีระดับ
แต่ Concept Car “Turbo” นี้ก็ไม่ได้ถูกผลิตลงตลาดจริง แต่ได้กลายเป็นรุ่นต้นแบบให้กับ BMW Series 6 รถยนต์คูเป้รุ่น ‘E24’ แทน ซึ่งแผนการพัฒนา Series 6 นั้น BMW ได้ไว้วางใจให้ Paul Braku เป็นผู้กุมบังเหียนออกแบบรถยนต์ซีรีส์นี้ด้วยคอนเซ็ปต์ล้ำยุค ‘Futuristic’
BMW 635CSi ภาพจาก hemmings
ในขั้นตอนการออกแบบ Braku ได้เลือกใช้โมเดล Series 3, 5 แต่นำมาปรับแต่งให้ด้านหน้าตัวรถสโลปลงเพื่อให้ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัย เขาเรียกดีไซน์แบบนี้ว่า ‘Shark’ ด้วยหน้าตาที่เหมือนกับฉลาม ซึ่งงานออกแบบนี้ก็ดังเป็นพลุแตกจน BMW ได้นำดีไซน์นี้ไปใช้ปรับปรุงต่อเนื่องมา 13 ปี
จนปัจจุบัน Series 6 ได้พัฒนาจากรถยนต์คูเป้ธรรมดาเป็น Grand Tourer และเพิ่มเติมสมรรถนะการขับเคลื่อนให้เร็วแรงระบบล้อหน้าและ xDrive สี่ล้อและเทคโนโลยีภายในอีกมากมาย
BMW 7 Series
“ซีรีส์ซีดานที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบที่สุดจาก BMW”
ประวัติ BMW 7 Series เป็นรถซีดานเรือธงที่เป็น ‘รถยนต์หรูหราขนาดใหญ่’ ที่มีสมรรถนะดีที่สุด โด่งดังที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยทำมา โดยเริ่มผลิตครั้งแรกในปี 1977 มีทั้งรูปแบบรถฐานล้อยาวและลีมูซีน ผลิตมายาวนานกว่า 7 Generation จนถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยูได้ให้สโลแกน 7 ซีรีส์ว่าเป็น ‘รถยนต์แห่งอนาคต ที่คุณขับได้แล้ววันนี้’ ซึ่งก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงนัก เพราะจุดเด่นของ 7 ซีรีส์คือการเปิดตัวเทคโนโลยีและดีไซน์ห้องโดยสารภายในรูปแบบใหม่ ๆ ก่อนหน้าซีรีส์อื่น ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ‘E23’ รถยนต์ 7 ซีรีส์ตัวแรกมาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำยุคมากมายที่รถในขณะนั้นไม่สามารถทำได้ เช่น เบาะ Heater, ระบบเบรก ABS, Airbag นิรภัย, ระบบควบคุมกระจก, เบาะไฟฟ้า, เกียร์อัตโนมัติ 4 Speed และเครื่องยนต์แบบหัวฉีด ซึ่งฟีเจอร์บางตัวรถสมัยนี้ก็ยังไม่มีใส่มาให้ด้วยซ้ำ
BMW 750iL ภาพจาก jamesbondwiki
นอกจากนั้นซีรีส์ 7 ยังได้รับความนิยมจนถึงขนาดถูกเลือกไปใช้ประกอบงานภาพยนต์เรื่อง James Bond 007: Tomorrow Nevers Die ในรุ่น ‘E38’ 750iL อีกด้วย ซึ่งภายในรุ่น E38 ก็ได้ยกระดับรถหรูล้ำหน้าด้วยไฟหน้า HID สุดล้ำช่วยมองได้ไกลขึ้น 30-40% ระบบนำทาง GPS, ลำโพง 14 ตัวรอบคันและหลังคาแบบ Moonroof เอาไว้ดูดาว ซึ่งรุ่นนี้ได้รับความนิยมสูงมากจนขายไปได้ถึง 340,242 คัน
BMW 760i ภาพจาก autodata
ในรุ่นใหม่ถัดมา ซีรีส์ 7 ก็ได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์ 6,8 Speed, รถยนต์ระบบไฮบริดแบบเสียบปลั๊กชาร์จ PHEV, ปรับใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดน้ำหนักตัวรถ, ระบบขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW อย่าง iDrive ฯลฯ อีกมากมาย ที่ทุกวันนี้ยังครองตำแหน่งเป็นหนึ่งในแนวหน้าซีรีส์ยานยนต์ของโลกได้สบาย ๆ
ประวัติ BMW 8 Series
“ซีรีส์คูเป้ที่มาฉีกทุกกฏเกณฑ์เดิม ๆ”
ประวัติ BMW 8 ซีรีส์เป็น Grand Tourer ที่เรียกได้ว่าผลิตมาด้วยความตั้งใจอยากเปลี่ยนแปลงงานออกแบบสไตล์เดิม ๆ จนหลายคนรู้สึกว่า “นี่ดูไม่เหมือน BMW เลย” ซึ่งซีรีส์ 8 นี้ได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show ในปี 1990 ประเดิมรุ่นแรกคือ ‘E31’
BMW E31 ภาพจาก auto-data
แต่ทั้งนี้ซีรีส์ 8 ก็เปิดตัวได้ไม่สวยนักเนื่องจากยอดขายที่ไม่สู้ดีของ E31 และประกอบกับการที่บีเอ็มดับเบิลยูเริ่มเปลี่ยนทิศทางไปสู่รถยนต์ SUV มากกว่า จนทำให้ E31 ถูกยุติการขายลงในปี 1999 และไม่ได้ส่งซีรีส์ 8 ตัวใหม่ลงตลาดอีกเลย
จนกระทั่งปี 2018 บีเอ็มดับเบิลยูก็ได้ชุบชีวิตซีรีส์ 8 ขึ้นมาอีกครั้งด้วยรถคูเป้ ‘G15’ ที่มีทั้งแบบเปิดประทุน ‘G14’ และ Grand Coupe ‘G16’ ซึ่งกลับมาครั้งนี้ก็มาอย่างยิ่งใหญ่ ปรับ Position ของซีรีส์ให้กลายเป็นรถหรู Ultra Luxury ที่เทียบได้กับ Mercedes-Benz S-Class และ Porsche 911 ได้เลยทีเดียว
BMW G15 ภาพจาก wikiwand
จุดเด่นของซีรีส์ 8 คือความหรูหรา, ห้องโดยสารกว้างขวางและงานออกแบบที่แตกต่างไปจากซีรีส์ก่อน ๆ ยกตัวอย่างเช่น ‘G15’ หลังคาจะมีความโค้งเหมือนกับฟองอากาศ 2 ฟองมาชนกันเรียกว่า Double Bubble เพื่อเพิ่ม Aerodynamic ให้ขณะขับขี่, ตัวถังกว้างขึ้น, กระจกหลังขนาดใหญ่กว่าเดิมเพิ่มจุดสายตา, การใช้ Line เส้นประกอบรถดูลื่นไหลสมกับการรอคอยของ Bimmer ทั่วโลก
BMW Z Series
“หนึ่งในสุดยอด Roadster ของโลก”
BMW 507 ภาพจาก thedrive
Roadster เป็นซีรีส์รถยนต์ที่เคยฝากรอยแผลให้กับบีเอ็มดับเบิลยูจนเกือบทำให้ล้มละลายมาแล้ว โดยในปี 1955 นั้นบีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตำนาน Roadster กับ ‘บีเอ็มดับเบิลยู 507’ ที่มีความสวยงามโฉบเฉี่ยวซึ่งคาดการณ์ว่าต้องทำยอดขายได้อย่างน้อย 5,000 คันแน่นอน แต่ความจริงกลับผลิตออกมาได้แค่ 252 คัน ทำให้บริษัทขาดทุนไปถึง 15 ล้านจนเกือบต้องขายกิจการให้กับ Mercedes-Benz
หลังจากนั้นบีเอ็มดับเบิลยูก็ทิ้งช่วงเวลาอยู่นานกว่า 30 ปีจนตัดสินใจกลับมาทำ Roadster อีกครั้งในซีรีส์ ‘Z’ มาจากคำว่า Zukunft แปลว่า ‘อนาคต’ ในภาษาเยอรมัน เปิดตัวครั้งแรกกับรุ่น ‘Z1’ ชูจุดเด่นด้วยดีไซน์รถแบบเหลี่ยมที่ให้ลูกค้าเลือกติดตั้งชิ้นส่วนเปลือกนอกได้ตามใจชอบเอง ไม่ต้องเข้าอู่ทำสี รวมถึงประตูรถแบบสไลด์ลงสุดโมเดิร์น (Vertical Sliding) ที่บอกได้เลยว่าหาได้ยากมากในวงการยานยนต์
ภาพจาก 007museum
หลังจากนั้นซีรีส์ Z ก็ได้รับความนิยมและขายดีขึ้นมาก และเป็นอีกครั้งที่บีเอ็มดับเบิลยูได้ถูกเลือกไปใช้กับหนังแฟรนไชน์ James Bond กับภาค Goldeneye กับรุ่น ‘Z3’ และปรับปรุงพัฒนามาเรื่อย ๆ จนถึง ‘Z4’ ที่มีรุ่นโดดเด่นคือ BMW Z4 30i M Sport
BMW Z4 30i M Sport
BMW Z4 30i M Sport เป็น Roadster ฉีกแนวไปจาก Z Series เดิม ๆ ที่ตัดความเหลี่ยมสันและเหลาปรับทรงให้โค้งมนคล้ายซีรีส์ตัวเลข และออกแบบไฟหน้าใหม่รับกับทรงรถหน้ายาวท้ายสั้นเพื่อแสดงถึงความสปอร์ตแบบจัดเต็มและช่วยกระจายน้ำหนักได้หน้าหลัง 50/50 แบบสมดุล
ในส่วนของหลังคาผ้าใบทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เปิด-ปิดได้ในเวลา 10 วินาที ซึ่งในตลาดโลกตอนนี้ ถือว่าเป็นรุ่นที่เปิดและปิดประทุนได้เร็วที่สุด และส่วนของท้ายรถใช้ไฟท้ายทรงตัว L ที่นำมาจากซีรีส์ 8 ภายในมีความเป็น Digital สูงด้วยระบบ Infotainment อย่าง iDrive และอีกมากมายล้นคัน
สมรรถนะของ BMW Z4 30i M Sport ก็ไม่ธรรมดา มาพร้อมกับเครื่อนยนต์ 2 ลิตรคู่ 258 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร เกียร์ ZF 8 Speed ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วไร้การติดขัด เร่งความเร็ว 1-100 กม. ได้ใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. นับว่าเป็นหนึ่งใน Roadster ที่หรู ครบครัน สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่เคยมี ซึ่งเปิดตัวในราคา 4.06 ล้าน แต่ Prime Cars Rental ให้คุณเช่าขับในราคาเพียงวันละ 15,000 บาทเท่านั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยที่นี่ >> BMW Z4 30i M Sport
สรุปประวัติ BMW
ทั้งหมดนี้ก็คือประวัติ BMW และรายละเอียดรถยนต์ฉบับสรุป 100 ปีที่เต็มไปด้วยคุณภาพและความตั้งมั่นที่ต้องการส่งมอบประสบการณ์ให้ทุกคนได้สัมผัสกับยานยนต์ที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างได้มากที่สุดในทุกขณะที่ขับขี่ และแน่นอนว่า BMW ยังจะอยู่คู่อุตสาหกรรมยานยนต์และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโลกได้เรื่อย ๆ อย่างแน่นอน
เปิดตำนานการขับขี่รถยนต์ BMW ของคุณกับ Prime Cars Rental
ประวัติ BMW ยังไม่จบแค่นี้ รวมถึงประสบการณ์การขับขี่ของคุณเช่นเดียวกัน! ซึ่งนอกเหนือจาก BMW 330e M Sport G20 (2021) และ BMW Z4 30i M Sport Prime Cars Rental ยังมี รถหรู BMW อีกหลายรุ่นให้คุณเลือกเช่าขับตามไลฟ์สไตล์ของคุณ หรือแม้แต่รถหรูแบรนด์อื่นอย่าง Lamborghini, Porsche หรือ Mercedes-Benz ทางเราก็มีให้บริการ
การเช่าจองรถกับ Prime Cars Rental ทำได้ง่าย ๆ ด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว ไม่ต้องใช้เอกสารเยอะ พร้อมให้คำปรึกษาและติดต่อสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเบอร์โทรศัพท์ 081-954-2451 หรือพูดคุยออนไลน์ที่ Line: @primecarsrental โอกาสอันดีสำหรับการขับขี่สุดพรีเมียมของคุณกำลังจะเริ่มแล้ว จองเลยวันนี้!