ถ้าพูดถึง Mercedes-Benz ก็ต้องพูดถึงเรื่อง “Class” แล้วถ้าพูดถึงเรื่อง Class เห็นที่คงจะไม่พูดถึง S-Class ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็น ‘ตัวท็อป’ ที่อัดแน่นไปด้วยความพิเศษมากกว่ารถยนต์ในทุก Class โดยจะพิเศษอย่างไรนั้น วันนี้เราจะพามาเจาะลึกตำนานของ Mercedes-Benz S-Class กันครับ
Mercedes-Benz S-Class คืออะไร?
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่าทางค่ายดาวสามแฉก เขาได้มีการตั้งชื่อรุ่นรถหรู เพื่อป้องกันความสับสนเอาไว้ โดยแบ่งรุ่นไว้อย่างเป็นระบบตาม ‘Class’ ซึ่งจะพิจารณาจากประเภท ขนาด กลุ่มเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ของการใช้งาน ทำให้เวลาเห็นชื่อรุ่น ก็จะสามารถจินตนาการคร่าว ๆ ได้ว่ารถคันนี้จะมีหน้าตาและฟังก์ชันประมาณไหน
สำหรับ Class ของ Mercedes-Benz ในปัจจุบันนั้นจะมีตั้งแต่ A-Class, B-Class, C-Class, CLA, CLS, E-Class, G-Class, GLA, GLB, GLC, S-Class, SL, SLC, V-Class ไปจนถึง X-Class, กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า EQC และ EQV ตลอดจน AMG และ Maybach
ส่วน S-Class ที่เรากำลังพูดถึงกันนั้น “S” มาจากคำว่า Sonderklasse ในภาษาเยอรมัน โดยมีความหมายว่า “Special Class” หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือ รถที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษต่าง ๆ ไว้ ซึ่งก็ค่อนข้างตรงตัวเลยทีเดียว เพราะถ้าคุณนึกถึงรถที่มีฟ้งก์ชันสุดล้ำอย่าง เบาะนวด ระบบผลิตกลิ่นหอม ระบบความปลอดภัยเจ๋ง ๆ หรือ เทคโนโลยีที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในรถยนต์แล้วล่ะก็ บอกเลยว่า S-Class มีครบ!
ทั้งนี้ รถในกลุ่ม S-Class โดยปกติแล้วจะเป็นรถซาลูน หรือ ลีมูซีน ขนาดใหญ่ พรั่งพร้อมไปด้วยความสบาย จนได้รับสมญานามว่าเป็นรถนั่งที่ดีที่สุด หรือ ‘ตัวท็อป’ ของ Mercedes-Benz อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นรถซีดานหรูที่ขายดีที่สุดในโลกอีกด้วย
จุดเริ่มเต้นของ “ความพิเศษ”
1903‒1905 : Mercedes-Simplex 60 PS
จุดเริ่มต้นของความหรูหรา สะดวกสบาย อันกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของ S-Class ในปัจจุบัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีต้นศตวรรษที่ 20 โดย Mercedes ได้เปิดตัว ‘Mercedes-Simplex 60 PS’ รถยนต์ขนาดใหญ่สำหรับการเดินทาง (Touring Car) ขึ้น
รถรุ่นนี้มีขนาดที่ใหญ่โต โออ่า กว้างขวาง นั่งสบาย การเดินทางไกลไม่เป็นปัญหา ภายในตกแต่งอย่างเนี๊ยบ เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าโบรเคดอย่างดี ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องรับรอง หรูหราเป็นที่สุดในยุคสมัยนั้น
สำหรับรถรุ่นนี้ นอกจากจะเป็นต้นแบบของ S-Class แล้ว ยังเป็นรุ่นแรก ๆ ภายใต้ชื่อ Mercedes อีกทั้งยังถือว่าเป็น ‘รถยนต์สมัยใหม่’ รุ่นแรกอีกด้วย
1930‒1938 : Mercedes-Benz Nürburg (W 08)
ต่อมา ในปี 1928 Mercedes-Benz ได้ฤกษ์ปล่อยรถรุ่นใหม่อย่าง ‘Model 500’ หรือ ‘Nürburg 460 (W 08)’ ออกมา ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของค่าย
Nürburg 460 ถูกตั้งชื่อตามสนามแข่งรถ Nürburgring มีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ 8 สูบ ให้กำลัง 59 กิโลวัตต์ หรือราว ๆ 80 แรงม้า มีรูปลักษณ์ที่สง่างาม ช่วงหน้ายาว ภายในกว้างขวาง มีขนาดเล็ก และปราดเปรียวกว่า Mercedes-Simplex 60 PS อีกทั้งยังดูทันสมัยมากขึ้น เป็นรถพูลแมนซาลูน 8 สูบ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและได้รับการยอมรับจากนักแข่งรถและผู้ทรงอิทธิพลมากมาย
1937‒1942 : Mercedes-Benz 320 (W 142)
แล้วในปี 1937 Mercedes-Benz ก็ได้ส่ง ‘Mercedes-Benz 320 (W 142)’ Touring Car สุดหรูเข้ามาทำตลาด ด้วยตัวถังหลากหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชันที่ภายในมีความกว้างมากที่สุด ได้แก่ พูลแมนลีมูซีน 7 ที่นั่ง
นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้นั้น ยังได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้น มากมาย ทั้งมีการติดตั้งกล่องเก็บสัมภาระไว้ด้านหลังของรถเพื่อป้องกันกระเป๋าเดินทางจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และสิ่งสกปรกทั้งหลาย ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ ที่สัมภาระจะถูกผูกไว้ชั้นวางด้านหลังเป็นเปิดโล่ง โดยที่ไม่มีอะไรคลุม
อีกทั้งยังมีการพัฒนาระบบ Aerodynamics เพื่อให้สามารถเดินทางด้วยความเร็วสูง ในระยะทางไกล ตลอดจนมี ระบบกันสะเทือน และมีการใช้การทำงานแบบ Overdrive (กลศาสตร์) เข้ามาเพื่อลดรอบของเครื่องยนต์ต่อนาที (RPM) เมื่อรถยนต์มีความเร็วคงที่ ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยลง รวมถึงลดเสียงรบกวนลงด้วย เป็นการเพิ่มทั้งความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการเดินทาง
1951‒1954 : Mercedes-Benz 220 (W 187)
ภายในงาน International Motor Show (IAA) ซึ่งจัดขึ้นที่ Frankfurt ในปี 1951 เป็นครั้งแรกที่ ‘Mercedes-Benz 220 (W 187)’ ได้เปิดตัวสู่สายตาของชาวโลก ด้วยรูปลักษณ์สปอร์ต ภายในตกแต่งอย่างมีรสนิยม พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยอย่าง Conical-Pin Safety Locks ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเวลารถประสบอุบัติเหตุ
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้รถนั่ง 6 สูบ คันนี้ เป็นที่ถูกตาต้องใจของใครต่อใครหลาย ๆ คน และสร้างยอดผลิตกว่า 16,066 คันภายในระยะเวลา 3 ปี แถมยังได้รับเสียงชื่นชมจากสื่ออีกว่าเป็นรถที่ ‘มีจิตวิญญาณของรถสปอร์ต’
Mercedes-Benz S-Class มาแล้ว!
1954‒1959 : Mercedes-Benz 220/220 S/220 SE (W 180, W 128)
เริ่มขยับเข้าใกล้ความเป็น S-Class เข้าไปทุกที ในปี 1954 Mercedes-Benz ได้ส่ง รถ Model 220 หรือ W180 6 สูบ ออกมา โดยรถรุ่นนี้จัดเป็นรุ่นแรกของซีรีส์ ‘Ponton’ ซึ่งเป็นรถที่มีโครงสร้างแบบชิ้นเดียว (Unibody) มีลักษณะคล้ายเรือท้องแบน ดูเก๋ ร่วมสมัย
สำหรับโครงสร้างแบบนี้ มีข้อดีคือแข็งแรง ป้องกันผู้โดยสารให้ปลอดภัยได้ดีกว่าโครงสร้างแบบ Over Frame (ที่มีการแยกส่วนของ Body กับ Frame) เพราะการที่โครงสร้างเป็นชิ้นเดียวกันจะทำให้สามารถกระจายแรงกระแทกอันเกิดมาจากการชนได้ดี
หลังจากนั้น ก็ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงรถในโมเดลนี้มาเรื่อย ๆ จนในช่วงปลายยุค 50s ก็ได้เปิดตัว Model 220 S และเป็นครั้งแรกที่ได้นำตัวอักษร ‘S’ มาตั้งชื่อรถระดับพิเศษของ Mercedes-Benz
1959‒1965 : Mercedes-Benz 220 – 300 SE long (W 111, W 112)
จาก Ponton ก็มาถึงยุคของ ‘Fintails’ ในปี 1959 Mercedes Benz ได้ส่ง โมเดล 220, 220 S และ 220 SE (W 111) ออกมาทำตลาด ซึ่งก็ถูกเรียกขานด้วยฉายาว่า Fintails เนื่องว่าบริเวณขอบฝาท้ายของรถนั้นมีลักษณะคล้ายหางปลายื่นออกมา
อย่างไรก็ตามไฮไลต์เด็ดของรถโมเดลนี้ก็คือเรื่องความปลอดภัย เพราะโครงสร้างของตัวถังถูกออกแบบมาให้มีสิ่งที่เรียกว่า ‘Crumple Zone’ ซึ่งเมื่อมีการชนกันเกิดขึ้น Crumple Zone ที่ด้านหน้าและด้านหลังจะยุบตัว ซับกระแทกที่จะส่งไปยังห้องโดยสาร ทำให้ช่วยลดโอกาสที่ผู้โดยสารจะบาดเจ็บได้
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้ง ระบบล็อคประตูแบบ Wedge-Pin ที่ช่วยให้ประตูปิดสนิทในทุกสถานการณ์ ตัวคนไม่กระเด็นออกจากรถเมื่อประสบอุบัติเหตุ ตลอดจน ระบบดิสก์เบรค และ ระบบเบรกสองวงจร
1965‒1972 : Mercedes-Benz 250 S – 300 SEL 6.3 (W 108, W 109)
ต่อมาในปี 1965 Fintails ก็ถูกแทนที่ด้วย รถดีไซน์คลาสสิก สมรรถนะแรง อย่าง W 108 และ W 109 ซึ่งโดดเด่นด้วยการออกแบบที่หรูหราเหนือกาลเวลา และ หน้าต่างบานกว้าง ส่วนความแตกต่างระหว่าง 2 โมเดลข้างต้น อยู่ที่ระบบช่วงล่าง โดยโมเดล W 108 มาพร้อมกับ ระบบกันสะเทือนแบบสปริงเหล็ก ส่วน W 109 เป็นระบบช่วงล่างถุงลม (Air Suspension) ซึ่งรองรับและกันสะเทือนเมื่อขับบริเวณพื้นที่ขรุขระได้ดี
มากไปกว่านั้น สำหรับ 300 SEL 6.3 หรือ W 109 ที่เปิดตัวในปี 1968 ยังเป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของโมเดลซีรีส์นี้ เพราะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 อันทรงพลังและเกียร์อัตโนมัติที่หยิบยืมมาจากรถเก๋งระดับไฮเอนด์ของ Mercedes อย่าง Mercedes-Benz 600
1972‒1980 : Mercedes-Benz S-Class ‒ 116 Model Series
ในปี 1972 ในที่สุด Mercedes-Benz ก็ได้ใช้ชื่อ ‘S-Class’ เป็นครั้งแรกกับการเปิดตัวซีรี่ส์ 116 รถซาลูนใหม่ ที่โดดเด่นด้วยแนวคิดด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตั้งแต่ ตัวถึงเชื้อเพลิงที่ถูกตั้งแต่ไว้บริเวณเพลาหลัง เพื่อป้องกันในกรณีที่เกิดการชน, พวงมาลัยนิรภัยแบบสี่ก้าน, กระจกมองข้างเคลือบสารกันคราบ, ไฟหน้าขนาดใหญ่ และ ไฟเลี้ยวที่โดดเด่น
1979‒1991 : Mercedes-Benz S-Class – 126 Model Series
ถ้าพูด S-Class ต้องนึกถึง 3 คำนี้ – หรูหรา มีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัย ซึ่งในรถของซีรีส์ 126 นี้ก็ได้สร้างมาตรฐานเหล่านี้ใหม่อีกครั้ง ด้วยการปรับปรุงดีไซน์ยกคัน! เริ่มต้นจากการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของรถตามหลักอากาศพลศาสตร์ ประกอบกับพยายามลดน้ำหนักของตัวรถลง เพื่อลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ด้วยการใช้เครื่องยนต์ V8 ที่ทำจากอัลลอยน้ำหนักเบาแบบใหม่
ทั้งนี้ ซีรีส์ 126 ยังโดดเด่นด้วยความปลอดภัย ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ ตลอดจนระบบถุงลมนิรภัย และเข็มขัดนิรภัยที่ถูกออกแบบให้ตึงกระชับกับผู้โดยสาร อีกทั้งยังเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นแรกของ Mercedes-Benz ที่มีกันชนพลาสติกแบบเปลี่ยนรูปได้ แทนที่จะเป็นกันชนแบบโครเมียมแบบดั้งเดิม ทำให้สามารถรอดพ้นจากรอยขีดข่วนในการจอดรถได้สบาย
1991‒1998 : Mercedes-Benz S-Class – 140 Model Series
และแล้วก็เดินทางสู่ยุค 90s โดยในยุคนี้วิศวกรของ Mercedes-Benz เน้นความสะดวกสบายสูงสุด ทำให้ S-Class ซีรีส์ 140 รุ่นปี 1991 อัดแน่นไปด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวกหลากหลาย เช่น ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และ หน้าต่างด้านข้างที่ทำจากกระจกสองชั้น พร้อมช่องอากาศลดความชื้น เพื่อเป็นฉนวนกันเสียงและลดการเกิดฝ้า
ไม่เพียงเท่านั้น S-Class เจเนอเรชันใหม่นี้ยังมาพร้อมกับนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่ล้ำสมัยไปกว่าเดิม อย่างเช่น ระบบ Electronic Stability Program (ESP®) หรือระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ก็มีให้เห็นกันมาตั้งแต่ปี 1995 แล้วนะจะบอกให้
Mercedes-Benz S-Class ในยุคศตวรรษที่ 21
1998‒2005 : Mercedes-Benz S-Class ‒ 220 Model Series
เบาขึ้น ปลอดภัยและนั่งสบายมากขึ้น คือคำจำกัดความของ S-Class ซีรีส์ 220 ที่เปิดตัวในปี 1998 สำหรับรถในซีรีส์นี้ได้มีเทคโนโลยีล้ำ ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันเพิ่มเข้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม AIRMATIC, ระบบควบคุมและแสดงผล พร้อมด้วย ระบบนำทางแบบไดนามิก, ระบบควบคุมระยะห่างของรถยนต์ขณะขับขี่ DISTRONIC ตลอดจน ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ 4MATIC ที่ช่วยให้รถยึดเกาะถนน ในทุกสภาพ
นอกจากนี้ยังมี ระบบควบคุณอุณหภูมิแบบแบ่งโซน, มีการเพิ่มจุดติดตั้งของถุงลมนิรภัย ไปจนถึง ระบบ PRE-SAFE® ที่จะทำงานอัตโนมัติเมื่อตรวจพบรถอยู่ในสถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะเกิดอุบัติเหตุ เช่น รถที่วิ่งตามมาด้านหลังมาด้วยความเร็วที่สูงมาก เป็นต้น
2005‒2013 : Mercedes-Benz S-Class ‒ 221 Model Series
สำหรับ S-Class ยุคนี้มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน โดยในปี 2005 Mercedes-Benz ได้ปล่อยซีรีส์ 221 ออกมาสร้างความฮือฮาให้กับวงการ ด้วยนวัตกรรมเจ๋ง ๆ มากมาย ทั้งระบบ Night View Assist, ระบบ DISTRONIC PLUS และ Brake Assist Plus
ยังไม่พอยังมีระบบช่วยเหลือในการขับขี่อย่าง Blind Spot Assist, Lane Keeping Assist, Speed Limit Assist และ Active Body Control (ABC) หรือ ระบบควบคุมกันกระเทือน ซึ่งช่วยให้ควบคุมการทรงตัวของรถได้ดีมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2009 Mercedes-Benz ก็ได้คลอด S 400 HYBRID ให้ชาวโลกได้ชม ซึ่ง S 400 นี้ถือว่าเป็นรถไฮบริดในระดับ Luxury Class ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รุ่นแรกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ในปัจจุบันอาจฟังดูแล้วเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน แต่ในสมัยนั้นก็ต้องบอกว่าล้ำสมัยมากเลยทีเดียว
2013‒2020 : Mercedes-Maybach S-Class ‒ 222 Model Series
ในช่วง 2013 จนถึงปี 2020 ที่ผ่านมา แนวทางของ S-Class เน้นไปที่การพัฒนาใน 3 ด้านใหญ่ ๆ คือ 1. การขับขี่อัจฉริยะ ที่ผสมผสานระหว่างระบบการช่วยเหลือในการขับขี่และระบบความปลอดภัย 2. การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ อย่างเช่น เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด และ 3. เน้นในเรื่องความหรูหรา ทั้งดีไซน์การตกแต่ง และ ฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบาย
สัมผัสความสบายเหนือขั้น กับ Mercedes-Benz S-Class
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กว่าจะมาเป็น S-Class สุดหรูหราที่เราเห็นกันในปัจจุบัน นับเป็นหลายทศวรรษทีเดียวกว่าจะพัฒนามาถึงจุดนี้ สำหรับใครที่สนใจอยากลองสัมผัสนวัตกรรมการขับขี่ และ ความสะดวกสบายอันล้ำสมัย ที่ Prime Cars Rental เราขอเสนอที่สุดของ S-Class อย่าง Mercedes-Benz S560e AMG Premium สุดหรู ที่มาพร้อมกับฟังก์ชัน ‘พิเศษ ๆ’ ล้นคัน แถมจุขุมพลังแรงระดับ Supercar ในราคา 25,000 บาท / ต่อวัน
หรือใครอยากลอง Mercedes-Maybach S-Class ก็หรูหรา นั่งสบาย ไม่แพ้กันกับ Mercedes Maybach S 500e ในราคา 65,000 บาท / ต่อวัน
ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ด้วยความสะดวกสบายระดับเฟิร์สคลาส ถ้าพร้อมเดินทางแล้ว เช่ารถ Mercedes-Benz S-Class กันเลยที่ 081-954-2451 หรือ Line ID: @primecarsrental