ในปัจจุบัน ด้วยกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ ราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ได้รับความนิยมอย่างมาก จนหลาย ๆ ค่ายต้องเร่งทำตลาดกับกระแสที่เปลี่ยนไป Mercedes-Benz เอง ก็เป็นอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ที่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น โดยในวันนี้เราจะพามาดูกันว่า รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz มีจุดเด่น ข้อดีอย่างไร แล้วจะสามารถตอบโจทย์ให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างรอบด้านขนาดไหน มาดูกันเลยครับ
รถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร
ก่อนที่จะไปดู รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz เราจะพามาทำความรู้จักกับ รถยนต์ไฟฟ้ากันเสียก่อน
รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) เป็นรถที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ หรือ อุปกรณ์เก็บพลังงาน แทนการเติมน้ำมัน ซึ่งข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าก็คือ ขับเคลื่อนได้เงียบ ให้อัตราเร่งและแรงบิดที่สูง ไม่มีไอเสีย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจน ช่วยประหยัดค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุง แถมเวลาเดินทางยังไม่ต้องแวะปั๊มน้ำมันบ่อย ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าสามารถแบ่งย่อยออกมาได้เป็น 5 ประเภทหลัก ดังนี้
ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า
1. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle – BEV) รถยนต์ที่ไม่มีเครื่องยนต์สันดาป ใช้เพียงแต่พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เท่านั้น และต้องได้รับการชาร์จไฟ แทนการเติมน้ำมัน
2. รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle – HEV) เป็นรถที่มีเครื่องยนต์สันดาปตามปกติ แต่ว่าจะมีมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่เพิ่มเข้ามาด้วย โดยเครื่องยนต์จะผลิตกระแสไฟฟ้าเอง เพื่อมาเก็บในแบตเตอรี่ แล้วใช้พลังงานไฟฟ้ากับน้ำมันเชื้อเพลิงสลับกันไปขณะขับเคลื่อน (ซึ่งเครื่องยนต์จะเป็นระบบขับเคลื่อนหลัก ส่วนพลังงานไฟฟ้าจะเป็นตัวเสริม) ทำให้การขับเคลื่อนและการเบรก ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น
ในด้านการทำงาน เครื่องยนต์จะทำงานผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และเลือกทำงานเองโดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น ในขณะที่รถออกตัว มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะเข้ามาช่วยก่อน จากนั้นปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานต่อ แล้วเมื่อรถหยุดนิ่ง หรือ รถติด ถ้ามีแบตเตอรี่มากพอ เครื่องยนต์จะดับแล้วสลับมาใช้แบตเตอรี่เพื่อส่งพลังไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องปรับอากาศ ไฟหน้ารถ ฯลฯ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดมีหลากรูปแบบ ทั้งแบบ Full Hybrid สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% และแบบ Mild Hybrid ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไม่เกิน 40%
3. รถยนต์ไฟฟ้า ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in hybrid – PHEV) รถที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด โดยการขับเคลื่อน จะเป็นการทำงานผสานกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล สามารถเติมพลังงานจากแหล่งภายนอกโดยการเสียบปลั๊กไฟบ้านหรือสถานีชาร์จไฟสู่แบตเตอรี่ได้โดยตรง (Plug-in)
นอกจากนี้ รถยนต์สามารถใช้พลังงานจาก 2 แหล่งได้พร้อม ๆ กัน ทั้ง ไฟฟ้าอย่างเดียว หรือ ไฟฟ้ากับน้ำมัน (ไฮบริด) สามารถเดินทางโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ถึง 20-50 กิโลเมตร ไกลว่าเดิม วิ่งได้เร็วมากขึ้น มลพิษน้อย แถมยังใช้น้ำมันน้อยกว่ารถทั่วไปราว 30-60% โดยรถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz ในท้องตลาดปัจจุบันก็มีรถยนต์ไฟฟ้าแบบ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด อยู่หลายรุ่นเลยทีเดียว
4. อี-พาวเวอร์ (E-Power) รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเอาเครื่องยนต์มาใช้ปั่นกระแสไฟ แล้วนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ก่อนจะส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้งาน ซึ่งจะคล้ายคลึงกับระบบไฮบริด แต่จุดที่แตกต่างคือไฮบริดนั้นจะใช้เครื่องยนต์เป็นระบบขับเคลื่อนหลัก แล้วเสริมด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ทำงานสลับกัน ส่วน อี-พาวเวอร์ เครื่องยนต์มีไว้ใช้ปั่นไฟเท่านั้น ดังนั้นระบบนี้ ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟ เพียงเติมน้ำมันก็ไปต่อได้ตามปกติ
5. รถพลังงานไฮโดรเจน (Fuel Cell Electric Vehicle – FCEV) เป็นรถที่เรียกได้ว่าปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission) เพราะพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อน ได้มาจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกิริยากันระหว่างแก๊สไฮโดรเจนและออกซิเจน ในแผงเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Stack) โดยรถพลังงานไฮโดรเจนนี้จะให้ อัตราเร่งดีกว่ารถยนต์ทั่วไป ขับเคลื่อนได้เงียบเชียบ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz
ในปัจจุบัน Mercedes-Benz ได้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาทำตลาดภายใต้แบรนด์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Mercedes-Benz EQ’ โดยจะมุ่งเน้นที่ไปตลาดของรถยนต์การขับเคลื่อนด้วยพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าอัจฉริยะ ตลอดจน ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมด โดยคำนึงถึง ดีไซน์อันน่าดึงดูดล้ำสมัย ความเพลิดเพลินในการขับขี่ ความสะดวกสบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน และ ความปลอดภัย เป็นหลัก เรียกได้ว่าเป็น ‘ จินตนาการใหม่ของการขับเคลื่อน’
เทคโนโลยี EQ หัวใจสำคัญของ รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz
ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของ รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz กันเลยทีเดียวสำหรับ เทคโนโลยี EQ โดยเทคโนโลยีนี้ เป็นระบบที่ Mercedes-Benz ได้คิดค้นขึ้นสำหรับการนำมาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มสมรรถนะ พลังในการขับเคลื่อนของมอเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจน มอบความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ต่อการขับขี่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
สำหรับ เทคโนโลยี EQ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
1. เทคโนโลยี EQ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ รถยนต์ไฟฟ้าล้วน
2. เทคโนโลยี EQ Power สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริด และ EQ Power+ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริดสมรรถนะสูง ในกลุ่ม Mercedes-AMG
3. เทคโนโลยี EQ Boost เป็นระบบที่ได้รับการต่อยอดมาจาก EQ Power มีระบบไฟฟ้า 48 โวลต์ ซึ่งมากขึ้นกว่าปกติ ช่วยเสริมแรงบิด เพิ่มกำลังขับเคลื่อน นอกจากนี้ ยังใช้ระบบแยกจ่ายกระแสไฟฟ้ากับแบตเตอรี่หลัก เพื่อช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้า เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับรถรุ่นที่เป็น Mild Hybrid
นอกเหนือจาก เทคโนโลยี EQ แล้ว Mercedes-Benz ยังมีรถยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานไฮโดรเจน หรือ เซลล์เชื้อเพลิง “F-Cell” อย่างรุ่น GLC F-CELL ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงกับแบตเตอรี่ที่สามารถใช้ได้กับระบบ Plug-in Hybrid ทำให้ GLC F-CELL สามารถเติมได้ทั้งกระแสไฟฟ้าและไฮโดรเจน ใช้พลังงานไฟฟ้าได้เป็น 2 เท่า ขับได้ไกลมากขึ้น ใช้เวลาเติมพลังงานน้อย และ ปราศจากมลภาวะ
เตรียมชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้เต็ม
มลพิษจากรถยนต์ถือว่าเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องเร่งหาทางออก และ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหลักที่ทั่วโลกหันมาให้ความสนใจ ค่านิยมที่เปลี่ยนไป ประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาล และกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกสูงขึ้น และคาดว่าภายในปี 2030 รถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดรถยนต์มากกว่า 50%
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ชะลอการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งประการก็คือ ‘สถานีชาร์จไฟ’ ซึ่งทาง Mercedes-Benz ก็ได้เตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่โลกการขับขี่ในอนาคตด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟ ทั้งชุด Wallbox ที่คุณสามารถติดตั้งชาร์จไฟได้จากที่บ้าน
หรือถ้าหากกำลังเดินทางแล้วอยากชาร์จไฟก็สะดวกสบายด้วยสถานีบริการชาร์จไฟสาธารณะในเมือง ซึ่งในประเทศไทยเองตอนนี้ก็มีให้บริการแล้วที่ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมชั้นนำตามเมืองเศรษฐกิจ อย่างกรุงเทพฯ และ ภูเก็ต ทั้งนี้ ภายในรถยนต์ไฟฟ้าเองยังมีฟังก์ชันช่วยวางแผนจุดพักชาร์จที่อยู่ใกล้ พร้อมแสดงผลระยะทางที่รถสามารถวิ่งต่อไปได้ ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าสะดวกมากขึ้นทีเดียว
ในอนาคต คาดว่า Mercedes-Benz จะเพิ่มสถานีชาร์จไฟสาธารณะให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานมากยิ่งขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในการชาร์จไฟ ที่ทาง Mercedes-Benz เขาเปรย ๆ มาว่า จะมีทั้ง แอปพลิเคชัน และ ที่จัดเก็บพลังงานส่วนตัวแบบคงที่สำหรับเจ้าของบ้านหรือบริษัท ซึ่งสามารถจัดเก็บไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
สัมผัส รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz ที่ Prime Cars Rental
มุ่งสู่จุดหมายด้วยการขับขี่จากอนาคตกับ รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz ได้ก่อนใครวันนี้ Prime Cars Rental จัดให้กับ 3 รุ่นน่าเช่า
Mercedes-Benz C300e AMG Dynamic
Mercedes-Benz E350e Plug-in Hybrid AMG
สนใจเช่าเบนซ์ ติดต่อมาได้เลยที่ 081-954-2451 หรือ Line ID: @primecarsrental