ด้วยความคิด ความตั้งใจ และความมุ่งมั่นที่อยากจะ ‘สร้างรถสปอร์ตที่ดีที่สุดในโลกที่เคยมีมา’ ทำให้ McLaren ได้ถือกำเนิดขึ้นและได้สั่งสมประสบการณ์มานับไม่ถ้วนจนก้าวมาเป็นแบรนด์รถหรูเบอร์ต้นที่หลาย ๆ คนต่างไว้วางใจ ซึ่งประวัติศาสตร์การพัฒนารถยนต์ในอดีตของ McLaren ยังได้สร้างมาตรฐานความเร็วแรงเอาไว้มากมายเช่น McLaren F1 ที่ยังส่งผลต่อการพัฒนาปรับปรุงรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งอัตลักษณ์ และเสน่ห์ที่สำคัญของรถยนต์ McLaren ที่ทำให้ครองใจผู้ใช้งานไปได้ทั่วโลกนั่นก็คือ ‘ความพิถีพิถัน’ และ ‘ความออริจินัล’ ในชิ้นงาน (รถยนต์) โดยสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างภาพลักษณ์ของ McLaren ให้เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีความแตกต่างไปจากแบรนด์อื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
ประวัติความเป็นมาของ McLaren
จุดเริ่มต้นของ McLaren
McLaren เป็นแบรนด์รถ Supercar สัญชาติอังกฤษ ที่มีต้นกำเนิดมาจากขุมพลังฟอร์มูล่า ซึ่งจุดเริ่มต้นทั้งหมดมาจากบุคคลที่ชื่อว่า “Bruce McLaren” นักแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน ชาวนิวซีแลนด์ ที่มีความรักและหลงใหลในความเร็วเป็นชีวิตจิตใจ โดยเขาเป็นผู้ก่อตั้งทีม McLaren Motor Racing ในปี 1963 และเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน Formula 1 ด้วยสถิติแชมป์โลกฐานะนักแข่งเดี่ยว 8 ครั้ง และฐานะการแข่งรูปแบบทีมทั้งหมด 12 ครั้ง
ภาพจาก topgear
ซึ่งถ้าพูดถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทีม McLaren Motor Racing ก็จะต้องย้อนไปช่วงปี 1967-1971 ที่พวกเขาได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน Cam-Am (The Canadian-American Challenge Cup) แต่ท่ามกลางถนนแห่งชัยชนะที่สำคัญของพวกเขาก็ยังมีความโชคร้ายเกิดขึ้น เพราะ Bruce McLaren ได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุการทดสอบรถยนต์เพียงสัปดาห์เดียวก่อนที่ทีม McLaren จะได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้เขาพลาดการเฉลิมฉลองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทีมไปตลอดกาล
จากทีม McLaren สู่การพัฒนาที่พลิกโลก
หลังจาก Bruce McLaren เสียชีวิตลง ทีม McLaren ก็ได้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 1981 โดยได้เปลี่ยนผู้คุมทีมเป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษที่ชื่อว่า “Ronald Dennis” ซึ่งเขาได้ทำการกว้านซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมด และได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ คุมบังเหียนได้อย่างเชี่ยวชาญ จนทำให้ทีม McLaren กลายเป็นหนึ่งในทีมแข่งขันฟอร์มูล่าวันที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก โดยพวกเขาได้พลาดแชมป์เพียงแค่หนึ่งรายการเท่านั้นจากทุกการแข่งขันในปี 1988
หลังจากนั้นเป็นต้นมา McLaren ก็ได้มีความคิดที่อยากจะผลิตรถสปอร์ต ด้วยแนวคิดสุดทะเยอทะยานที่อยากจะ “สร้างรถสปอร์ตที่ดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา” จนกระทั่งปี 1993 ก็ได้เปิดตัวรถรุ่นแรกที่มีชื่อว่า “McLaren F1” รถสปอร์ตคูเป้ที่มีดีไซน์แบบ 3 ที่นั่ง ให้บรรยากาศคล้ายการนั่งรถแข่งฟอร์มูล่าวัน และทำการผลิตขึ้นเพียง 106 คันในโลกเท่านั้น
ภาพจาก roadandtrack
ซึ่ง McLaren F1 ก็ไม่ได้ทำให้โลกผิดหวัง เพราะรถสปอร์ตรุ่นนี้ได้สร้างสถิติใหม่ ณ 31 มีนาคม ปี 1998 ว่าเป็น ‘รถที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก’ ด้วยความเร็ว 386.4 กิโลเมตร/ชั่วโมง นับว่าเป็นการสร้างมาตรฐานความเร็วให้กับวงการรถยนต์ในขณะนั้นไปโดยปริยาย
เอกลักษณ์รถหรู McLaren ที่สร้างความแตกต่าง
ผู้นำด้านวัสดุเครื่องยนต์
หากเราจะพูดถึงรถยนต์แบรนด์ McLaren เราก็จะต้องนึกถึงเอกลักษณ์ที่แบรนด์เป็นผู้บุกเบิกอย่างเทคโนโลยี ‘วัสดุเครื่องยนต์’ ซึ่งหากเรามองถึงเทคโนโลยีการแข่งรถแล้ว รถหลาย ๆ เจ้ายังคงต้องพึ่งพา McLaren อยู่ไม่น้อย
ดังนั้นแล้ว McLaren ก็ยังคงเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาวัสดุที่มี ‘ความเบา’ และ ‘ความแข็งแกร่ง’ ที่นำมาผนวกรวมเข้ากับการออกแบบที่โมเดิร์น ล้ำสมัยที่หลายคนต้องจับตามอง
ภาพจาก carrozzieri
หากคุณได้เห็นภาพด้านบน นี่คือ ‘รถ Ferrari’ ในยุคก่อนที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายเจ้าต่างแข่งขันกันสร้างรถยนต์ขึ้นโดยใช้วัสดุทั่วไปอย่าง ‘เหล็ก’ แต่ McLaren กลับมีแนวคิดที่ต่างออกไป และได้เริ่มบุกเบิก หาวิธีการที่จะทำให้รถยนต์มีน้ำหนักที่เบามากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้รถยนต์มีสมรรถนะความเร็วแรงที่มากกว่าเดิม โดยการเริ่มต้นใช้วัสดุยานอวกาศอย่าง ‘มัลไลต์’ ที่เป็นวัสดุที่ทนไฟได้ดี นำมาประกบด้วยแผ่นอลูมิเนียม 2 ชิ้น
แต่ผลงานที่ทำให้ McLaren ได้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิกด้านวัสดุเครื่องยนต์อย่างแท้จริง ก็จะต้องย้อนไปในปี 1981 ที่ McLaren ได้พัฒนารถยนต์ตัวแรกของโลกที่มีชื่อว่า McLaren MP4/1 ที่มีการใช้เทคโนโลยี โมโนค็อก (Monocoque) ที่มีการผนวกโครงรถยนต์เข้ากับตัวถังให้เป็นชิ้นเดียว (Unibody) ด้วยวัสดุ Carbon Fibre
ภาพจาก MotorSportMagazine
ซึ่งรถยนต์ McLaren MP4/1 ที่ใช้วัสดุ Carbon Fibre นี้ได้พิสูจน์ความเร็วแรงด้วยการกวาดชัยชนะครั้งแรกในปี 1981 ในการแข่งขัน British Grand Prix ซึ่งความเร็วแรงก็ไม่ใช่แค่ข้อพิสูจน์เดียวเท่านั้น เพราะรถยนต์คันนี้ยังได้ ช่วยชีวิต นักแข่ง F1 John Watson จากการชน 140 ไมล์/ชั่วโมงเอาไว้ได้อีกด้วย ซึ่งนับได้ว่าเป็นรถยนต์รุ่นที่มาพลิกเกม เปลี่ยน McLaren ให้กลายมาเป็นผู้นำ คิดริเริ่มนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปพัฒนาต่อยอดเป็น McLaren F1 ต่อไปในภายหลัง
โดย McLaren ได้ออกมาเปิดเผยถึงแนวคิดการนำวัสดุคุณภาพสูงว่าได้เกิดมาจากการที่นักออกแบบรถยนต์รุ่นนี้ได้ค้นหาสิ่งใหม่แทนวัสดุที่ใช้กันมาดั้งเดิมเพื่อนำมาใช้ไม่เฉพาะแค่กับการหุ้มเบาะและแต่งส่วนต่างๆ ภายในห้องโดยสารเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพื้นที่เก็บของของรถ หรือแม้แต่ส่วนที่ใช้เพื่อควบคุมรถที่มีการผลิตจากอลูมิเนียมอย่างปราณีตด้วย เพื่อเพิ่มวิสัยทัศน์การมอง, ความรู้สึกในการใช้งาน และเพิ่มสมรรถนะโดยรวมของรถยนต์
McLaren หนึ่งในรถหรูที่สมรรถนะเร็วที่สุด
McLaren F1 ถือว่าเป็นงานศิลปะและรถยนต์ในตำนานที่นำเทคโนโลยีระดับ F1 มาสู่ท้องถนน ด้วยการสร้างสถิติโลกเอาไว้ที่ 386 กิโลเมตร/ชั่วโมง กลายเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลกในขณะนั้นโดยไร้ข้อกังขา
ภาพจาก ridebuster
และพอมาในปี 2019 McLaren ก็ได้ซุ่มพัฒนารถยนต์ไฮบริดที่จะมาสร้างสถิติใหม่ของค่าย กลายมาเป็น McLaren Speedtail ที่ทำสถิติใหม่ไปได้ด้วยความเร็ว 403 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกทั้ง McLaren ยังเป็นผู้ร่วมธุรกิจกับทั้ง Formula One และ NASCAR ผู้ที่เป็นทั้งอันดับหนึ่งและอันดับสองของผู้ที่จัดแข่งรถยนต์ระดับโลก โดยในปี 2012 NASCAR ได้มีการในเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบฉีดเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ให้เป็นรุ่นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งก็ได้ McLaren มาเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรายใหญ่ จนสุดท้ายแล้วก็กลายมาเป็นมาตรฐานของรถแข่งทุกคันที่จะต้องใช้กล่องประมวลผล ECU (Electric Control Unit) จาก McLaren ทุกคัน
ใช้เวลาพิถีพิถันกว่า 11 ปี เพื่อพัฒนารถแข่ง
รถยนต์ของ McLaren จะใส่ใจกับคุณภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่เน้นปริมาณ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากปี 1998 ที่ทาง McLaren ได้หยุดการผลิต McLaren F1 และก็ได้หายไปจากวงการอุตสาหกรรมรถสปอร์ตถึง 11 ปี
ซึ่งภายใต้ความคิดของรถแข่ง McLaren F1 นั้น McLaren ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างเพียงแค่ยานพาหนะทั่ว ๆ ไป แต่ต้องการจะสร้าง Supercar ที่มีสมรรถนะที่จะสามารถพลิกโลกได้ ดังนั้นเขาจึงใช้ความคิดอย่างไม่เร่งรีบ ค่อย ๆ วางแผนว่าจะสร้างรถอย่างไร ผลจึงออกมาเป็น McLaren F1 ที่ไม่มีชิ้นส่วนใด ๆ ที่เป็นพลาสติก และมีคุณภาพรอบด้านที่เหนือกว่ารถแข่งทั่วไป ที่พากวาดรางวัลมานับไม่ถ้วน
ภาพจาก caranddriver
จนมาถึงปี 2009 ที่ McLaren ได้กลับมาพร้อมกับ McLaren MP4-12C ที่ได้นักออกแบบชื่อดังชาวอเมริกันอย่าง Frank Stephenson ที่ยังคงใช้วัสดุพรีเมี่ยมอย่าง Carbon Fibre เช่นเดิม แต่ก็ได้นำเทคโนโลยีความเร็วแรงของ Formula 1 มาปรับใช้ เช่น ระบบเบรกล้อหลัง (Brake Steer) ที่จะช่วยให้ทำความเร็วขณะเข้าโค้งเพื่อลดความหน่วงของพวงมาลัย ทำให้เพิ่มสมรรถนะได้เป็นอย่างมาก
ชื่อรุ่น McLaren MP4-12C มีเบื้องหลังมาจาก McLaren Project 4 ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตของ McLaren และ C หมายถึง ‘คาร์บอน’ ซึ่งต้องการเน้นถึง อนาคตที่ McLaren จะใช้วัสดุตัวถังเป็น Carbon Fibre คุณภาพสูงในวงการมอเตอร์สปอร์ตต่อไป
มูลค่ารถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้รถยนต์ของ McLaren มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นความพิถีพิถันในการคิดค้น ประกอบ และการใช้วัสดุที่มีคุณภาพอยู่เสมอ ทำให้ McLaren กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงติดตลาดโลก ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพจาก samiaal
โดยในปี 2003 ‘ตัวถัง’ ของรถ McLaren F1 หมายเลข 006 ได้ถูกประมูลในงานที่ Pebblebeach และจบประมูลไปที่ราคา 8.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 254 ล้านบาท
ภาพจาก carscoops
ถัดมาในปี 2012 McLaren ได้เปิดตัว McLaren P1 รถซูเปอร์คาร์ เทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่งาน Paris Motor Show ที่ได้นำเทคโนโลยีไฮบริดมาร่วมกับเทคโนโลยีรถฟอร์มูลาวัน วัสดุโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ Monocage ซึ่ง McLaren กำหนดให้สามารถครอบครองเป็นเจ้าของ P1 ได้เพียง คนละ 1 คันเท่านั้น ทำให้ McLaren P1 ถือเป็นรถที่มีราคาสูงที่สุดของ McLaren ในปัจจุบันนี้ ด้วยราคาราว ๆ 36 ล้านบาท
ภาพจาก inews
และในปี 2021 ที่ผ่านมา McLaren F1 ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ขึ้นอีกครั้ง ด้วยการที่เป็น ‘รถที่ถูกประมูลไปในราคาที่สูงที่สุดในปี 2021’ ในงาน Monterey Car Week ด้วยมูลค่าที่สูงมากถึง 20.5 ล้านดอลลาร์ (ราว ๆ 656 ล้านบาท) โดยถูกประมูลได้ไปโดย Gooding & Co. ราคาดังกล่าวมากกว่าที่ประเมินไว้ถึง 15 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นรถ McLaren F1 ที่ขายได้ในราคาที่สูงมากที่สุด และถือเป็นหนึ่งในรถคลาสสิกน่าสะสมที่หาได้ยากและมีค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก
McLaren รุ่นนิยม
McLaren F1
ภาพจาก motorauthority
McLaren F1 ถือเป็นหนึ่งใน Supercar ยุคใหม่รุ่นแรก ๆ ที่เป็นรุ่นแห่งการรื้อฟื้นแบรนด์รถแข่งและรถยนต์ของ McLaren โดยมีการผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพียง 100 คันในโลกเท่านั้น ตัวรถใช้เครื่องยนต์ V-12 ขนาด 6 ลิตรขนาดใหญ่ที่มีกำลังมากกว่า 600 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดที่ 240 ไมล์/ชั่วโมง ได้รับขนานนามว่าเป็น “รถ Formula คันแรกสำหรับท้องถนน” ซึ่งในแวดวงผู้มีชื่อเสียงต่างก็ได้เลือกซื้อ McLaren F1 อยู่หลายคน โดยบุคคลสำคัญ ๆ ที่เป็นเจ้าของก็จะมี Elon Musk ในปี 1999 ที่เขายังไม่ได้เป็นเจ้าของ SpaceX และ Tesla
ภาพจาก wrc
และอีกบุคคลหนึ่งที่มีความหลงใหลใน McLaren นั่นก็คือ Rowan Atkinson ที่รู้จักกันในบทบาท Mr.Bean ซึ่งเจ้าตัวได้เผยเอาไว้ว่า เขาได้ขับ McLaren F1 และชนจนเกิดอุบัติเหตุถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด อีกทั้งเขายังได้ตัดสินใจขายมันทิ้งในทีหลัง ซึ่งก็ยังสร้างกำไรให้กับเขาได้ถึง 12.2 ล้านดอลล่าร์ (402 ล้านบาท) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่า McLaren มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป
ภาพจาก carmagazine
McLaren Artura
McLaren Artura เป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid รุ่นล่าสุดของ McLaren ที่ใช้เวลาในการพัฒนาถึง 4 ปีโดยเป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู 2 ที่นั่ง ชูจุดเด่นด้วยแพลตฟอร์มโครงสร้างแบบใหม่ McLaren Carbon Fibre Lightweight Architecture (MCLA) เป็นรุ่นแรก ที่โครงสร้างทำจาก Carbon Fibre และ Aluminium ที่มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อน ๆ เพียง 1,395 กิโลกรัม อีกทั้งยังตัดชุดเฟืองเกียร์ถอยหลัง และปรับเปลี่ยนไปใช้มอเตอร์ในการถอยรถแทน
ภาพจาก automotive
ภายในห้องโดยสารของ McLaren Artura มีการออกแบบอย่างมินิมอล ด้วยการออกแบบที่เรียกว่า ‘Form Follows Function’ ที่เน้นประโยชน์ให้ใช้งานได้จริง สามารถควบคุมการสั่งการได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีการตกแต่งพวงมาลัยและแป้นเกียร์ด้วยวัสดุ Carbon Fibre
มากไปกว่านั้น McLaren Artura ยังเป็น McLaren รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ วางกลางลำ ระบบผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า สมรรถนะสูงสุด 680 แรงม้า เร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 3 วินาที สามารถขับเคลื่อนในโหมด EV ได้ระยะทาง 30 กิโลเมตร มีอัตราการกินน้ำมันเพียง 17.8 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าประหยัดน้ำมันมาก สำหรับรถสปอร์ตกำลังสูง 680 แรงม้า ซึ่งส่วนช่วยสำคัญอยู่ที่น้ำหนักรถที่เบา เปิดตัวในไทยที่ราคา 16.7 ล้านบาท
สรุป
McLaren ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์รถหรูที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ และเป็นแบรนด์ที่เป็นนิยามของคำว่า “เราควรเริ่มต้นในสิ่งที่เราถนัด และหลงใหล” และเมื่อเราได้ทำสิ่งนั้นด้วยใจรัก ผลลัพธ์ก็จะสะท้อนออกมาเป็น ‘ความสำเร็จ’
เปรียบได้กับ Bruce McLaren ที่ถึงแม้เขาไม่ได้เป็นบุคคลที่ให้กำเนิดรถ McLaren โดยตรง แต่เขาก็เป็นบุคคลที่ปลุกปั้นสร้างแบรนด์ McLaren ขึ้นมา และได้ทิ้งตำนานสถิติการแข่งเอาไว้มากมาย และเมื่อเขาได้เสียชีวิต ก็ได้ Ronald Dennis ผู้มีความหลงใหล ชื่นชอบ McLaren มาต่อยอดธุรกิจด้วยความคิดที่อยากจะสร้างรถสปอร์ตที่ดีที่สุดในโลก สุดท้ายแล้วก็ทำให้เกิด The Next Big Thing อย่างแบรนด์รถหรู McLaren ที่มาพลิกโฉมวงการรถได้ในที่สุด
สัมผัสกับประสบการณ์รถหรู คุณภาพระดับโลกได้แล้วกับ Prime Cars Rental
มาเปิดโลกทัศน์ สัมผัสประสบการณ์การขับรถหรู Supercar แบรนด์ดังระดับโลกหลายรุ่นที่ให้กลิ่นอายไม่แพ้ Supercar รุ่นท็อปจาก McLaren ที่ Prime Cars Rental ไม่ว่าจะเป็นรถหรูอย่าง BMW Porsche Mercedes-Benz หรือ Lamborghini
อีกทั้งยังการันตีด้วยบริการระดับพรีเมียม ให้คุณเช่ารถหรู ไมล์น้อย ได้รวดเร็ว และสะดวกสบาย เพราะที่ Prime Cars Rental มีขั้นตอนการจองเช่ารถหรูที่ง่ายดาย ไม่ต้องใช้เอกสารเยอะ เพียงสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว คุณก็สามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดหรูในวันสำคัญของคุณได้ทันที
มาเริ่มสัมผัสประสบการณ์ความเร็วที่เหนือไปอีกระดับ กับรถหรู รถ Supercar ตัวท็อปได้แล้ววันนี้ที่เบอร์ 081-954-2451 หรือ ติดต่อออนไลน์ที่ @Prime Cars Rental