พบกับ 9 เรื่องจริงของ BMW ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน BMW หนึ่งในรถยุโรปแบรนด์ดังระดับโลกที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก เป็นแบรนด์ยนตรกรรมสุดหรูจากเยอรมันที่เป็นขวัญใจของคนรักรถจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและดีไซน์สวยงามอันเป็นเอกลักษณ์
เชื่อว่าหลายคนคิดว่าตัวเองน่าจะรู้จัก BMW เป็นอย่างดีและคุ้นเคยกับรถของ BMW มาหลายต่อหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น BMW 430i M Sport G22, BMW Z4 30i M Sport หรือ BMW 5 Series 520d Sport G30 ซึ่งเป็นรถรุ่นยอดฮิตของ BMW
แต่จริง ๆ แล้ว BMW ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้เราจะพาไปดูว่าเรื่องจริงเหล่านั้น มีอะไรบ้าง?
1. จุดเริ่มต้นของ BMW ไม่ใช่การผลิตรถยนต์
ภาพจาก Inchcape
BMW ถือกำเนิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในประเทศเยอรมัน โดยที่ BMW ไม่ได้เป็นผู้ผลิตรถยนต์ตั้งแต่แรก แต่เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนใบพัดและเครื่องยนต์ของเครื่องบินมาก่อน เพราะเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมากในช่วงสงคราม ด้วยการผลิตที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพของ BMW ทำให้ชิ้นส่วนจาก BMW ขึ้นชื่อว่าเป็นแนวหน้าของวงการเครื่องบินในช่วงเวลานั้น ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินใบพัด ในปี 1919 ของ BMW บินได้สูงถึง 32,000 ฟุต ถูกนับเป็นสถิติของโลกในยุคนั้น
ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงได้เกิดการทำสนธิสัญญาแวร์ซายที่ไม่อนุญาตให้ฝ่ายที่พ่ายแพ้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ทำให้ BMW ที่กำลังไปได้ดีในวงการเครื่องบิน ต้องหยุดชะงักลง BMW จึงต้องหันไปผลิตอย่างอื่นแทน ซึ่ง BMW ได้ตัดสินใจผลิตรถยนต์มาตั้งแต่นั้นมา นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตรถยนต์จนมาถึงทุกวันนี้
2. เอกลักษณ์ที่ต้องจดจำของ BMW
ภาพจาก businessinsider
หากพูดถึงเอกลักษณ์ของ BMW ที่ไม่ว่าใครเห็น ก็ต้องนึกถึง คือ กระจังหน้ารูปทรงไตคู่สุดเท่ หรือ “Kidney Grille”
กระจังหน้าไตคู่ เกิดขึ้นจากพี่น้องนักออกแบบรถชาวเยอรมัน จากเมือง Bruchsal Rudolf และ Fritz Ihle
พวกเขามีแนวคิดการออกแบบกระจังหน้าไตคู่ จากรถ BMW Ihle 600 ที่ผลิตขึ้นในปี 1929
กระจังหน้าไตคู่นี้ สร้างความโดดเด่นและความแตกต่างจากรถยนต์แบรนด์อื่น โดย BMW ใช้กระจังหน้าไตคู่ ครั้งแรกกับรุ่น BMW 303 ในปี 1933 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเอกลักษณ์กระจังหน้าไตคู่ที่มีใน BMW ทุกรุ่นทุกคัน ไม่เว้นแม้แต่รถแข่ง Formula 1 ก็มีการใส่กระจังหน้าไตคู่ลงไปในรูปแบบของลวดลายที่อยู่บนตัวรถ
รถ BMW มีวิวัฒนาการในเรื่องของเครื่องยนต์ ประสิทธิภาพการใช้งานและดีไซน์มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารวมถึงกระจังหน้าไตคู่เองก็มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างมาเรื่อย ๆ เช่นกัน โดยในปัจจุบันมีการออกแบบกระจังหน้าไตคู่รวมแล้วกว่า 13 แบบ และอยู่คู่กับ BMW มาร่วม 88 ปีแล้ว ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของ BMW เลยทีเดียว
3. โลโก้ของ BMW มาจากอะไร?
ภาพจาก logos-world
โลโก้ของ BMW ถือเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของ BMW เช่นกัน ด้วยรูปทรงที่โดดเด่น ประกอบด้วยสีขาวและสีฟ้า ทำให้ใครหลาย ๆ คน เข้าใจว่าเป็นโลโก้ที่มีที่มาจากใบพัดเครื่องบิน เนื่องจาก BMW เคยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์และใบพัดเครื่องบินมาก่อน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลโก้รูปทรงวงกลม มีความหมายสื่อถึงการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ส่วนสีขาวและสีฟ้า มาจากสีประจำรัฐ Bavarian ในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของ BMW
แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา BMW ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลโก้มากนัก แต่ก็มีการปรับปรุงและพัฒนาให้โลโก้มีความทันสมัยและเข้ากับยุคสมัยในแต่ละช่วงเวลาอยู่เสมอ
4. รถยนต์รุ่นแรกของ BMW
ภาพจาก autoevolution
รถยนต์รุ่นแรกที่เป็นต้นกำเนิดของ BMW คือ BMW3/15 PS ที่มีอายุมากว่า 92 ปีแล้ว ซึ่ง BMW 3-/15 PS มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Dixi ที่ผลิตออกมาครั้งแรก ในปี 1928 โดยหลังจาก BMW ซื้อกิจการของ Heinrich Ehrhardt เจ้าของรถ Dixi ที่ซื้อลิขสิทธิ์การผลิตมาจากบริษัท Austin Motor ของอังกฤษ
รถ Dixi จึงได้ถูกปล่อยออกมาในนามของ BMW ในช่วงเวลาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ซึ่งเป็นช่วงที่สภาพเศรษฐกิจในเยอรมันตกต่ำเป็นอย่างมาก
Dixi เป็นรถขนาดเล็ก เปิดประทุน 2 ประตู เครื่องยนต์กำลังสูงสุด 15 แรงม้า และเร่งความเร็วสูงสุดได้มากถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นรถที่เครื่องแรงและประหยัดน้ำมัน Dixi จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นรถเล็กที่มีราคาไม่แพงมากนัก แต่ Dixi เป็นรถ BMW ที่ยังไม่มีกระจังหน้าไตคู่
เวลาต่อมา ในปี 1933 BMW ได้เปิดตัว BMW 303 เป็นรถรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกระจังหน้าแบบไตคู่ หรือ Kidney Grille ที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ BMW จนถึงปัจจุบัน
5. ความหมายของรหัสท้ายรถ BMW
ท้ายรถของ BMW มีเลขรหัสอยู่ โดยมีความหมายเพื่อบอกชนิดของรถและรุ่นรถ รวมถึงลักษณะของเครื่องยนต์ โดยมีตัวอักษรและตัวเลขทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน
ตัวเลขตัวแรก หมายถึง แบบหรือรุ่นต่าง ๆ ของรถ เช่น Series 3, Series 5, Series 7, Series 8
ตัวเลข 2 ตัวหลัง หมายถึง ขนาดเครื่องยนต์หรือกระบอกสูบที่ใช้หน่วยเป็นลิตร แต่บางรุ่นเลขท้ายอาจจะไม่ตรงกับขนาดเครื่องยนต์ เช่น รถรุ่น 318i E46 มีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร มากกว่ารหัสท้ายรถ เพราะ BMW ได้ทำการเพิ่มขนาดกระบอกสูบ
ตัวอักษรตัวสุดท้าย คือ ตัวย่อของรุ่นรถ และรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ระบบน้ำมันหรือระบบการขับเคลื่อน
C , CS = Coupe รถรุ่น 2 ประตูหรือรุ่นสปอร์ต บางรุ่นจะใส่ S เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับแต่งทั้งภายนอกภายในเป็นแบบสปอร์ต อาจมีการเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์ เช่น CS Coupe Sport
d = Diesel รถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เช่น 320d
e = Economy Engine เน้นการลดมลพิษและความประหยัดมากกว่าความแรง เช่น 325e แต่ในปัจจุบัน หมายถึง Electric หรือรถไฟฟ้า เช่น 530e
X, xDrive = All Wheel Drive สำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น xDrive 30e
i = Fuel-Injected Engine จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิคส์
L = Long Wheel Base Model รถรุ่นฐานล้อยาว เช่น L7 ใน Series 7
T = Turbocharger Engine หรือ Touring
SE = Special Edition รถรุ่นพิเศษ เช่น 520d SE
A = Automatic Transmission หรือรถรุ่นที่ใช้เกียร์แบบออโตเมติก
6. ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้ว กว่า 40 ปี
ภาพจาก bmwclasico.com
กระแสรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรงเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ หลายคนอาจจะคิดว่ามีแค่ BMW IX3 หรือ BMW i3s ที่เป็นรถไฟฟ้าของ BMW แต่คุณรู้หรือไม่ว่า BMW ได้ทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว โดยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกออกมาในปี 1972 ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ล้ำสมัยและเรียกเสียงฮือฮาได้มากในยุคนั้น
แม้จะเรียกเสียงฮือฮาได้มาก แต่รถยนต์ไฟฟ้า BMW 1602 Elektro-Antrieb กลับมีพลังกำลังสูงสุด 43 แรงม้า อัตราการเร่ง 0-48 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วสูงสุดเพียง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น และในการชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้งานวิ่งได้เพียง 20 นาที ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการใช้งานของผู้คนในชีวิตประจำวัน จึงถือว่ารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงค่อนข้างมาก เนื่องจากในสมัยนั้นเป็นยุคที่เทคโนโลยียังไม่เติบโตเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตาม BMW 1602 นับว่าเป็นก้าวแรกของ BMW เข้าสู่วงการรถยนต์ไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ก้าวนึงเลยทีเดียว
7. สร้างมอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลก
ในปี 1937 BMW ได้สร้างมอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุด โดยมีความเร็วสูงถึง 278 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงมากในช่วงเวลานั้น ถือว่าเป็นตำนานของมอเตอร์ไซค์ในยุค 1930s
ภาพจาก bigbike
ปัจจุบัน BMW ก็ได้สร้างสถิติมอเตอร์ไซค์ Production Bike ที่เร็วที่สุดในโลกอีกครั้ง คือ S1000RR 2020 สุดยอดซุปเปอร์ไบค์ ที่มีชื่อเล่นว่า ฉลาม บ่งบอกถึงความดุดัน ความแข็งแกร่ง เร็วและแรง
โดยมีขนาดเครื่องยนต์ ความจุกระบอกสูบถึง 999 ซีซี พลังกำลังสูงสุด 207 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการติดตั้งระบบ Shiftcam เพื่อให้เครื่องยนต์มีความนุ่มนวลมากกว่าเครื่องยนต์แบบเดิม และมีค่ามาตรฐานไอเสียต่ำลงกว่าเครื่องยนต์แบบเดิม
มาพร้อมระบบ ABS PRO ป้องกันล้อล็อกขณะเข้าโค้ง ด้วยเทคโนโลยีจาก BMW Motorrad ระบบหยุดรถบนทางชัน HSC (Hill Start Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบอัจฉริยะ DTC (Dynamic Traction Control) และโหมดการขับขี่ 4 โหมด (Rain, Road, Dynamic, Race)
8. BMW เกือบจะตกเป็นของ Benz
ภาพจาก MagCarZine
ในปี 1959 หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างมาก ผู้คนยากจนและไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถยนต์ราคาแพงคันใหญ่ที่ล้ำสมัยอย่าง BMW ทำให้ยอดขายรถของ BMW ตกต่ำลง BMW จึงประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนเกือบจะล้มละลาย บอร์ดบริหารรายใหญ่ต้องการขายหุ้นและทำการควบรวมกิจการกับคู่แข่งอย่าง Daimler-Benz แต่มีหุ้นรายย่อยและพนักงานจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วย
และในที่สุด มีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งชื่อ Herbert Quandt รวบรวมเงินมาซื้อหุ้นจำนวนนั้นแทนที่จะขายให้ Daimler-Benz
หลังจากที่รอดพ้นจากการตกเป็นของ Benz BMW ได้พัฒนาและปรับปรุงรถให้มีขนาดเล็กลงและกะทัดรัดมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในยุคนั้นมากขึ้น โดยการเปิดตัว BMW 1500 ทำให้ BMW กลับมามียอดขายที่ดีอีกครั้ง และสถานการณ์การเงินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มี BMW ต่อมาจนถึงทุกวันนี้
และในปัจจุบัน ตระกูล Quandt ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน BMW Group อยู่อีกด้วย
9. รายได้ของ BMW
ในปี 2020 เป็นปีที่ทั่วโลกเผชิญกับสถานการณ์โควิด ทำให้รายได้ของ BMW จากทั่วโลกลดลงรวม 8% แต่ BMW ก็ยังถือว่าเป็นรถยนต์พรีเมี่ยมเจ้าใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากทั้งทั่วโลกและในไทยด้วยเช่นกัน
โดยในปี 2020 BMW Group มีรายได้จากแบรนด์รถ BMW, MINI และ Rolls Royce รวมเกือบ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
และ BMW Group Thailand กวาดส่วนแบ่งตลาดในไทยมากถึง 51.2% โดยได้ส่งมอบรถ BMW, MINI และ BMW Motorrad ไปกว่า 13,650 คันเลยทีเดียว ภายในปี 2020
มาสัมผัสประสบการณ์ล้ำค่ากับ BMW ยนตรกรรมระดับโลก
หากคุณอยากสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมจาก BMW แบรนด์รถระดับโลกที่มีประวัติอันน่าจดจำ
Prime Cars Rental เป็นตัวเลือกที่คุณมองข้ามไม่ได้ เพราะเรามีรถหรูให้เลือกหลากหลายแบรนด์และรุ่น รถตัวท็อป รุ่นใหม่ไมล์น้อยกว่า 50 คัน เหมาะกับทุกโอกาสการใช้งานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปเจรจาธุรกิจสำคัญ การท่องเที่ยวกับคนรักหรือครอบครัว หรือวันสำคัญในชีวิตคุณอย่างงานแต่งงาน
พร้อมบริการระดับพรีเมี่ยม การจองและเช่ารถที่ง่ายดายและรวดเร็ว การดูแลรักษารถทั้งภายในและภายนอก ให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยได้ 100% และยังมีบริการผู้ช่วยส่วนตัวระดับ Prime ที่ช่วยแนะนำและแก้ปัญหาต่าง ๆ ขณะใช้งานรถ รวมถึงบริการรับส่งรถถึงที่ในรูปแบบ Social Distancing ให้คุณขับขี่และเดินทางได้อย่างสบายใจ
ติดต่อเช่ารถหรูกับ Prime Car Rental ได้แล้ววันนี้ที่เบอร์ 081-954-2451 หรือไลน์ @primecarsrental